Saturday, April 17, 2010

อภัยทาน

ทุกวันนี้เหตุการณ์ในบ้านเราล้วนสบสันวุ่นวาย.. ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเราต่างคิดเห็นแตกต่าง ทะเลาะกันเอง..


เราคิดเพียงว่า "เรา" เป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ ทำให้เราต้องเผชิญกับสิ่งที่เราไม่ต้องการ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ต้องหนีหายไปจากแผ่นดินเกิด..

สิ่งเหล่านี้ทำให้รู้สึกคับแค้น เมื่อคับแค้นก็หาหนทางที่จะแก้แค้น พลังแห่งความคับแค้น ถ้าอยู่ในใจของคนสามัญก็อาจก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันแล้วนั้น หากยังอยู่ในใจคนที่มีอำนาจ พลังแค้นก็อาจก่อให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ดังเช่นทุกวันนี้..

แต่สิ่งที่พลังแห่งความคับแค้นทำลายมากที่สุดก็คือใจของตนเอง..

อภัยทาน..

หนึ่งในการให้ทานที่มีค่าสูงสุด การให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่คิดแต่เพียงว่า ทำไมต้องเป็นเรา?

สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เมื่อเป็นสิ่งร้าย ก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องดี เพราะเป็นโอกาสที่เราจะได้ชดใช้กรรม ถ้าเราไม่ยึดติดกับเรื่องร้ายๆ กรรมก็จะไม่ติดตามเราไปอีก ไม่มีการจองเวรกันไม่สิ้นสุด..

การให้อภัยถือเป็นการปลดปล่อยตนเองจากการจองเวรที่ดีที่สุด..

และสิ่งที่จะทำให้เราเป็นอิสระจากกรรมก็คือ "การให้อภัยตนเอง"..

...

Tuesday, April 6, 2010

อยากทราบว่า ตอนอายุ 27 ปี แต่ละคนได้เงินเดือนเท่าไหร่กันครับ ?

ไม่ทราบจะถูกใจมั้นนะคะ เข้ามาแชร์


ป้าเคยบรรจุ ราชการครั้งแรกเงินเดือน 2050 บาท อยู่ หน่วยงานตจว ถ้าจำไม่ผิดคิดว่าตัวเอง รวยแล้ว ดีใจที่สุด ต่อมมีลูกมี สามี เงินเดือนหมื่นหก เมื่อ10ปี ที่แล้ว ติดลบ ชักหน้าไม่ถึงหลังทุกดือน

เป็นหนี้ รถยนต์ บ้าน สินเชื่อบริโภค สหกรณ์ เงินเดือนติดลบ เลือดตาแทบกระเด็น รู้รสชาด ของทุกข์จากการเป็นหนี้ ช่างทรมานที่สุด หนำซำหนี้บัตรเครดิต แค่หมื่นกว่า

ตอนนั้น มีวิบากกรรมต้องออก จากงาน หนำซ้ำ ต้องเป็นหม้ายเจ็บไข้ได้ป่วย โดนพี่น้องเพื่อนฝูง รังเกียจ เจ้าหนี้ทุกอย่างมารุมฟ้องตอน นั้นอายุ 37-38 ปี หนักสุด สะบักสบอม ในชีวิตเลย ตอนเจอหมายศาล เงินจะกินก็ไม่มี งานก็หายาก ที่หาได้โดนเอาเปรียบ ได้แค่เดือนละ5พัน

กัดฟันต่อสู้มา จนหนี้เกือบหมด มีกินมีเก็บ ไม่ต้องโดนโกง โดนรังแก...ตอนนี้เข้มแข็ง

อายุ จะเข้า50 แล้วละ อยากบอกลูกหลานว่า งานจะได้เงินมากน้อย อยู่ที่การกิน การเก็บ..รู้จักกินรู้จักเก็บ และ เคยลำบากมากๆ พอเจอสบายแล้วมันสุดยอดจริงๆ

ถ้าไม่เคยล้ม จะไม่เห็นคุณค่าของชีวิต**

ตอนนี้ป้า จะกี่มรสุม ชีวิตก็ไม่หวั่น เพราะ มันเจอหนักมาโชกโชน

สุภาษิต ป้า ...จงอยู่อย่างจนแล้วท่านจะไม่มีวันจน

ซื่อทุกอย่าง...ที่อยากได้ด้วยเงินสด อย่ายืม

จงกินเพื่ออยู่... อย่าอยู่เพื่อกิน

จงใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้... และ เก็บเงินฝากเสมอ

**ถ้าทำได้อย่างนี้ไม่ต้องไปแสวงหาเงินเดือนเลิศหรู ก็เอาตัวรอดได้**

โชคร้ายที่ป้าเพิ่งมารู้ก็ตอนกลางคนแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ดีมีสุข พอใจในชีวิตมากแล้ว

จากคุณ : รักนะเด้กโง่


เงินเดือนเยอะ ไม่สู้เท่ากับ เหลือเงินออมต่อเดือนหรอกครับ


ตอน 27 เพิ่งจะจบโททางวิศวะ ป.ตรี เรียนตามใจตลาด คิดว่าจบแล้วจะได้เข้าโรงกลั่นน้ำมัน แต่มันไม่ใช่ เลยมาต่อป.โท เลือกสาขาที่ได้ไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ กลับมายังหาตัวเองไม่ได้

แล้วก็มาทำงานโรงงาน ทำงานเป็นกะ เงินได้เยอะเพราะทำงาน จ-ส + โอทีกระหน่ำ บางทีก็ทำโอที วัน อา. (เฉลี่ยเดือนนึงทำงาน 28-29 วัน) ไม่เคยมีเหลือเก็บสักบาท ผ่อนบ้าน ผ่อนหนี้สินเชื่อบัตรเครดิตจนหมด แถมติดลบอีกต่างหาก เนื่องจากใช้เงินมาชดเชยเวลาที่เสียไปจากการทำงาน

ปัจจุบันกำลังเปลี่ยนงาน ทำงาน จ-ศ และโอทีอาจจะน้อยมาก แต่วางแผนการใช้จ่ายเงินไว้อย่างดี คิดว่า ถึงน้อยลง แต่เราก็อยู่ได้ ควรสอนลูกๆ แบบนี้ดีกว่า

นี้ว่าจะเรียนต่อโท MBA อีกใบ ดูวิชาเรียนน่าสนใจ มีด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์และก็มีเรียนเรื่องการบริหารด้านบัญชีด้วย และน่าจะเรียนด้านกฏหมายทั่วไปเพิ่มเติมด้วย อะไรที่อยากรู้ก็อยากหาความรู้ไว้เพิ่มเติม

จากคุณ : Christian Chang

more..

Wednesday, March 31, 2010

ใครที่อายุ 30 แล้วยังรู้สึกว่า ชีวิตการทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอันบ้างคะ

เรา คนนึงค่ะ ปัจจุบันอายุ 31 ปัจจุบันยังเป็น contract อยู่


เงินเก็บ แค่หลักหมื่น รถบ้าน ยังไม่มี

จบsafety มา แต่เราไม่ชอบค่ะ และเราเคยประสบอุบัติเหตุมา ใส่รองเท้า safety เดินหน้างานไม่ค่อยสะดวก ปัจจุบัน ผันตัวเองมาทำงานด้าน

admin เน้นนั่งทำงานออฟฟิศ ทำงาน admin มา 5 ปี

เห็นเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน จบมาได้เงินเดือนสูง

มีรถขับ แล้วมองตัวเอง มันช่างแตกต่าง เงินเดือนไม่สูง จบมาเป็นหนี้รัฐบาลประมาณ 200000 จริงๆตอนที่เราเลือกคณะเราเห็นว่าเป็นสหเวชศาสตร์และสาธารณสุขศาสตร์เราคิดว่ามาด้านสุขภาพ ประมาณคุณหมออนามัย

เนื่องจากเราเคยรักษาตัวในร.พ. นานเป็นเดือน เลยอยากมาทำด้านนี้

รักษาคนอื่น แต่พอมาเรียนแล้วมันไม่ใช่เราเลย ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา

ก็บอกว่าเรียนให้จบเหอะ ไม่จำเป็นต้องเป็น จป.ก็ได้ ก็เรียนจนจบ

ทุกวันนี้คิดแล้วคิดอีกค่ะ มาอยู่ กทม. 5 ปีแล้ว เงินเก็บไม่มี กำลังตัดสินใจ กลับบ้านที่ ตจว.

แต่ก็กังวลกลัวกลับไปไม่รู้จะทำงานอะไรดี กลัวตกงาน แต่ถ้าจะอยู่ต่อก็คิดว่าชีวิตคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไปเรื่อยๆ กลับไปอยู่ใกล้พ่อแม่พี่น้อง ดีกว่า คุยกะหัวหน้าแล้ว หัวหน้าบอกว่า ให้อยู่ถึงสิ้นปีได้มั้ย แต่เราตัดสินใจว่า

จะกลับแล้ว ยืดมาหลายครั้งก็เหมือนเดิม บริษัทไม่มีนโยบายบรรจุ พนง. contract เราคิดว่าก่อนที่อายุจะมากไปกว่านี้ ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่อยู่กทม .ก็ไปตั้งหลักที่ ตจว.ดีว่า ซึ่งยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะดีขึ้นหรือแย่ลง

มีใครทำงานไม่ตรงสายแบบเราบ้างมั้ยคะ แล้วใครบ้างที่รู้สึกชีวิต ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แล้วมีแนวคิดยังไง แชร์ประสบการณ์ให้ฟังหน่อยค่ะ สับสนมาก

จากคุณ : meaning_me

...

มีเพื่อนเราเยอะแยะเลยค่ะ ที่ตอนเรียนจบ แรกๆทำงานในกรุงเทพ


แต่พอทำไปซักพัก เริ่มอยากกลับบ้านซะแล้ว (แตกต่างจากเรา เรียนจบปุ๊ป หางานใกล้บ้านก่อนเลย)

ลองไตร่ตรองดูว่าความสุขของคุณคืออะไร แล้วทำตามนั้นเลยค่ะ

ชีวิตคนเรามันสั้นนัก อย่ารีรอที่จะเริ่มใหม่ เพราะคำว่า กลัว

สำหรับเรา สาเหตุที่หางาน ตจว ทำ เพราะเป้าหมายการทำงานของเราอยู่ที่ว่า

งานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเรา เรามีความสุขที่ได้ทำงานใกล้บ้าน ได้ดูแลเจอหน้าพ่อแม่ญาติพี่น้อง

เพื่อนเราทำงาน กทม เงินเดือนเป็นแสนแล้วตอนนี้

แต่เราก็ไม่เคยคิดน้อยใจหรือเปรียบเทียบเลยค่ะ เพราะเป้าหมายของเราแตกต่างจากเพื่อนมาก

ทุกวันนี้ เป็นผู้จัดการในบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง ใน ตจว

เงินเดือนอาจจะไม่สูงมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เราเรียนมา และที่เพื่อนๆเราได้รับ

แต่เราก็พอใจในสิ่งนี้ค่ะ มีความสุขที่ได้ทำงานทุกวัน เพราะนี่คือสิ่งที่เราตั้งใจเลือกเอง

จากคุณ : wanvisa

...

ผมอยากจะบอกคุณเหลือเกินว่า ...


ปัจจุบันผม 33 ย่าง 34 ผมไม่มีอะไรเลยในปัจจุบัน บ้าน ? รถ ? ครอบครัว ? ญาติพี่น้อง ? คนรัก ? เพื่อนสนิทมิตรสหาย ?

ด้วยความสัตย์จริง ครับ ?

ขออย่าท้อ ไม่ว่าวันนี้จะเลวร้ายแค่ไหน จงยิ้มเข้าไว้...เพราะพรุ่งนี้อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่า ?

ผมผ่านการนอนเล่นที่สนามหลวงเป็นอาทิตย์มาแล้ว เข้าใจความรู้สึกที่ต่ำสุดดีเป็นอย่างยิ่งครับ สู้เค้านะครับ แย่กว่าเรามีอีกมากมายครับ

จากคุณ : พระรามล่องหน

...

Monday, March 29, 2010

อายุ 30 ปีกับชีวิตที่ติดลบ

มีใครเป็นลักษณะคล้ายๆผม บ้างครับ คือว่าอายุจะ 30 ปีแล้ว ยังมีหนี้สินอยู่เลย ครึ่งล้านได้ ตอนนี้ทำงานได้เงินประมาณเดือนละ 3 หมื่นบาท เหลือเก็บแล้วนะครับ แต่ไม่ค่อยอยากทำแล้ว เพราะว่าอยากออกไปทำธุรกิจส่วนตัว ทำเกี่ยวกับส่งออก แต่ผมไม่มีเิงินเก็บ บ้าน รถก็ไม่มี ตอนนี้เหมือนอยากออกไปจากจุดนี้มาก ผมอยู่ต่างประเทศ อยากกลับเมืองไทย ถ้ากลับเมืองไทย บริษัทเก่าที่เคยทำงานเคยทำงานอยู่เขาก็จะรับผมเข้าทำงานอีก อยู่ที่ผมว่าจะทำหรือไม่ แต่ผมก็ลองย้อนกลับไป ทำไมผมถึงอยากลาออก ณ ขณะนั้น กลับไปเจอบรรยากาศเดิมๆ ผมอยากคิดและทำในสิ่งที่ผมอยากทำ อยากตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง


อยู่ที่ต่างประเทศ ค่อนข้างเหงา ความคิดในแต่ละวัน ไม่เหมือนกันเลย เวลาที่ผมท้อ ก็จะหากำลังจากกระทู้ในพันทิพย์ ดูคนที่เขาสู้กว่าเราทั้งๆที่โอกาสเขามีน้อยกว่าเรา บางทีมันก็มีหลุดๆบ้าง เหมือนฟุ้งซ่าน ก็ต้องกลับมาอ่านใหม่ เป็นอยู่บ่อยๆ

อยากเริ่มต้นใหม่ ตั้งแต่ด้านความคิดและการกระทำเลย ขอบคุณทุกคำแนะนำก่อนล่วงหน้านะครับ หรือใครมีประสบการณ์ก็มาแชร์กันได้นะครับ

จากคุณ : ไร้อิสระ

...

หนี้สินทุกชนิด ล้วนเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองทั้งนั้น อาจจะทั้งจากชาตินี้ หรือจากชาติที่แล้ว ดังนั้น ไม่มีทางเลี่ยงได้ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเอง

ส่วนคุณจะเปลี่ยนอะไรในชีวิตคุณได้บ้างนั้น มันไม่ง่ายหรอกครับ มันต้องเปลี่ยนออกมาจากข้างใน จากความเข้าใจ จากตัวตน ไม่ใช่เปลี่ยนจากความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากเป็น อยากหลุดพ้น ความอยากเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้คุณเปลี่ยนตัวเองได้

สิ่งที่ยั่งยืนคือคุณต้องเข้าใจก่อนว่า การใช้ชีวิตที่คุณเป็นอยู่ แบบที่คุณเป็น ไม่ใช่สิ่งที่คุณปราถนา แล้วจึงเปลี่ยนมัน เป็นอย่างที่คุณอยากให้เป็น

แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอ เข้าใจตัวเองอย่างเดียวไม่พอ คุณต้องเข้าใจสิ่งแวดล้อม เข้าใจสถานการณ์ ความจำเป็น เข้าใจและยอมรับมัน

ดังนั้น ถ้าคุณจะเปลี่ยน คุณก็ต้องเปลี่ยนภายใต้เงื่อนไขจำกัด ... มันไม่ได้เปลี่ยนได้ชั่วข้ามคืนแน่นอน

จากคุณ : jaminonez

...

ที่มา

Wednesday, February 17, 2010

มาออกกำลังใจกันเถอะ..


ทุกวันนี้เราต่างก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน..


...

แม่บ้านทำงานบ้าน เลี้ยงลูก ก็มีปัญหาในแบบหนึ่ง..

คนทำงาน ติดต่อผู้คน เร่งงานให้ทัน ก็มีปัญหาในแบบหนึ่ง..

นักเรียน เรียนหนังสือ เตรียมตัวสอบ ก็มีปัญหาในแบบหนึ่ง..

ชาวนา ทำนา รดน้ำ พรวนดิน เร่งผลผลิต ก็มีปัญหาในแบบหนึ่ง..

ผู้คนมากมาย แตกต่าง ต้องอยู่ร่วมกัน ขัดแย้งกันบ้าง เห็นตามกันบ้าง..

...

ในยามที่ร่างกายเราอ่อนแอ เราก็ต้องหมั่นออกกำลังกาย..

วิ่งออกกำลัง บริหารร่างกาย เพื่อให้กำลังกายเราดีพร้อม ห่างไกลโรคภัย..

...

ในยามที่ใจเราอ่อแอ ถูกกระทำด้วยสิ่งเร้าต่างๆ ทั้งภายในใจเราเอง และภายนอก สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา..

เราก็ต้องหมั่นออกกำลังใจ เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันใจเราให้ห่างไกลจากโรคภัย..

...

วิธีการออกกำลังใจ เพียงเราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหายใจออก ระลึกรู้อยู่เสมอในปัจจุบันขณะว่า หายใจเข้า-หายใจออก..

เวลามีอะไรเข้ามากระทบใจเรา ก็หายใจเข้า-หายใจออก.. สงบใจ..

ใจสงบ กายก็สงบไปด้วย..

ถ้าเราหมั่นออกกำลังใจบ่อยๆ เมื่อมีอะไรมากระทบใจเรา เราก็จะแข็งแกร่ง ไม่หวั่นไหว มั่นคง มั่นใจ ปัญหาทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี..

...
 
Copyright 2009 Consciousness